ขบวนคนเดินทางนำหน้าด้วยชายหนุ่มแต่งกายพื้นเมืองรูปร่างแบบคนภูเขาที่พบเห็นได้ทั่วไปในป่าแถบนี้ ตามมาด้วยชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อีกประมาณ 10 กว่าทุกคนแต่งกายด้วยชุดที่พร้อมสำหรับการเดินทางสัมภาระที่บรรทุกบนหลังม้าภูเขาตัวใหญ่ 2-3 ตัวแสดงว่าขบวนนี้น่าจะเป็นพ่อค้าที่นำสินค้าเข้ามาขายหรือไม่ก็เป็นคนภูเขาเองที่กลับจากการค้าขายในเมฆราชคีรี ในกลุ่มชายหนุ่มทั้งหมดมีหนึ่งคนที่รูปร่างบอบบางผิดแผกจากชายหนุ่มคนอื่นๆในขบวน ดูจากเครื่องแต่งกายคล้ายจะเป็นชายหนุ่มแต่จากรูปร่างที่เห็นสามารถบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวเป็นผู้หญิง อาจจะหญิงสาวเพียงคนเดียวในขบวนนี้ก็เป็นได้
“ ถึงลำนาราแล้วกระหม่อม ข้ามสะพานนี้ไป ก็จะเข้าเขตป่าภูเขา ” ชายหนุ่มชักม้ามาใกล้ๆหญิงสาว กระซิบบอก และยังคงเดินตามขบวนไปตามสะพานไม้ไปฝั่งตรงข้าม
“ เราต้องไปอีกไกลไหม อัคนิน “ หญิงสาวถาม น้ำเสียงไม่ต่างกัน ในขณะที่สายตาจับจ้องสะพานไม้แผ่นเดียวด้วยความหวาดหวั่น
“ ก็ใช้เวลาอีกสักวันหรือสองวันเห็นจะได้กว่าจะถึงคุ้มเจ้าภูฟ้า ตองแลบอกว่า จากนี้ไปหนทางจะลำบากกว่านี้ เพราะต้องเดินขึ้นเขา ทางจะสูงชันกว่าที่เราผ่านมามาก “ ชายหนุ่มเจ้าของชื่ออัคนินตอบ
“ งั้นข้ามฝั่งแล้ว เราคงต้องรีบหาที่พักก่อนค่ำแล้วหละ ดูเหมือนว่าพระพิรุณใกล้จะโปรยปรายลงมาแล้ว ดูท่าทางจะหนักซะด้วยสิ อัคนิน ”
“ กระหม่อม ตองแลบอกว่าพอข้ามลำนาราแล้ว ไปอีกสักพักจะมีถ้ำสำหรับคนเดินทาง เราจะพักกันที่นั่น ฝ่าบาท ระวังด้วยนะกระ...หม่อม “ เพราะความตกใจที่เห็นม้าของหญิงสาวเซทำให้อัคนินเสียงดังขึ้นด้วยความเป็นห่วงแต่อ่อยลงในตอนท้าย เพราะนึกได้ว่าหลุดคำที่ไม่ควรออกมา
“ พี่อัคนิน อาภาบอกว่า ยังไง หือ ” หญิงสาวใช้น้ำเสียง ทวนความทรงจำชายหนุ่ม
“ โธ่ ขอโทษ พี่ลืมไป ก็มันไม่คุ้นนี่น่า “ ชายหนุ่มแก้ตัว
“ ก็ หัดไว้ให้คุ้นๆ สิ ท่องไว้ อาภาเป็นครู เป็นครู ธรรมดา ธรรมดา “ หญิงสาวท่องเสียงใส พร้อมกับชักม้าแซงม้าของชายหนุ่มนำไปข้างหน้าตามสะพานไม้ข้ามแม่น้ำ
“ ได้ ได้ พี่จะท่องให้ขึ้นใจเลย “ ชายหนุ่มกล่าว พร้อมชักม้าเดินนำม้าของหญิงสาวเพื่อทำหน้าที่ของตนเอง โดยไม่ทันสังเกตรอยยิ้มได้ดั่งใจของหญิงสาว
“ ฮี๊ ฮี๊ๆๆๆๆๆ “ เสียงร้องดังที่แสดงว่าเจ้าตัวโตตกใจจากอะไรสักอย่าง
“ วะ...ว๊าย อัคนิน..” ตามด้วยเสียงร้องของหญิงสาว และเสียง...ตูม...ดังเหมือนใครหรืออะไรตกลงไปในน้ำ เพราะแรงสะบัดของเจ้าตัวโตตัวนั่นเอง
“ ฝ่าบาท ! ” ชายหนุ่มเจ้าหันกลับมาตามเสียงร้อง แต่ทันแค่ได้เห็นน้ำที่แตกกระจาย อัคนินดีดตัวจากหลังม้าอย่างเร็วและวิ่งลงจากสะพานไม้เลี้ยวไปตามต้นเสียงที่ได้ยิน วิ่งไปตามตลิ่งริมแม่น้ำโดยไม่ละสายตาจากจุดเล็กๆที่มองเห็น พร้อมกับทหารองครักษ์ส่วนคนอื่นๆในคณะนั้นยังคงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันอยู่
“ อัคนิน ชะ ช่วย ด้วย ” เสียงหายไปเท่านั้น เพราะน้ำที่เชี่ยวกรากของต้นฤดูฝนได้ดึงร่างน้อยลอยละลิ่วไปตามแรงพัดของกระแสน้ำ เห็นเพียงสัญญาณมือโบกไวๆ ที่บอกว่าเจ้าตัวยังมีชีวิต และพยายามพยุงตัวต้านความแรงสายน้ำที่เชี่ยวกราก รอคอยการช่วยเหลือจากคนบนฝั่ง
“ ฝ่าบาท ฝ่า บาททท ” เสียงตะโกนเรียก ดังและยาวนาน หวังจะให้บุคคลที่อยู่ในธารน้ำเชี่ยวได้ยิน พร้อมกับการวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย หากพลาดในครั้งนี้หมายถึงชีวิต ชีวิตตัวเองที่ไม่เคยเสียดาย เพราะตั้งแต่เกิดมาก็รู้หน้าที่ ชีวิตไม่ได้เป็นของตนอีกต่อไป... แต่อีกชีวิตที่กำลังร้องเรียกหา มิอาจให้สูญสิ้น...อย่า...แม้แต่จะคิด
“ พวกเจ้า ตองแลด้วย ตามครูเดี๋ยวนี้ ฝั่งโน้น แยกย้ายกัน ” ตะโกนบอกคนนำทางและลูกน้องที่ร่วมคณะมาด้วย ส่วนตนเองก็ออกวิ่งแทบไม่คิดชีวิต ริมตลิ่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้หนารก แค่เดินยังลำบาก นี่ต้องวิ่งให้ทันร่างที่ตอนนี้เห็นเพียงมือชูเหนือน้ำ เพียงเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ
“ ดูแล อาภา ให้ดี แทนเรา ” รับสั่งองค์เหนือหัวจักรเมฆา ดังก้องอยู่ในความคิดคำนึง องค์หญิง ฝ่าบาท คิดไป วิ่งไป เสียงรับสั่งองค์เหนือหัวยังคงก้องตอกย้ำ
“ เราเหลือกันแค่นี้ 3 คน เราฝากมือข้างหนึ่งของเราไว้กับอัคนิน ส่วนอีกข้างอินทรรับผิดชอบ...เราเชื่อใจ...พวกเจ้าทั้งสองจะนำหัวใจแห่งเรากลับมาอย่างปลอดภัย ” องครักษ์ที่เปรียบเหมือนเพื่อนสนิท เพราะถูกเลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจนโตแทบจะไม่เคยห่างกายกันและกัน จนเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยรับสนองราชโองการตามเสด็จพระขนิษฐาฝาแฝดแห่งองค์เหนือหัวจักรเมฆา พระขนิษฐาฝาแฝด 2 พระองค์ ไม่ใช่สิ 3พระองค์ต่างหาก ชายหนึ่ง หญิงอีกสอง
“ อาภา องค์หญิง ฝ่าบาท “ ตามองตามจุดเล็กๆในลำนารา ปากก็ตะโกนเรียก ส่วนเท้าก็วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อให้ทันร่างเล็กๆที่ลอยละลิ่วตามกระแสน้ำ
ลำนาราที่นับว่าเชียวกรากและอันตรายเป็นทุนเดิมเพราะต้นน้ำที่มาจากยอดเขาสูงสุดของภูแสนผา บัดนี้ยิ่งเชี่ยวกรากเป็นทวีคูณเพราะฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่ง ป่าภูเขาที่เคยได้ยินแต่เสียงร่ำลือถึงความเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหัน หนึ่งวัน 3 ฤดูกาล หนึ่งผืนป่าหลากภูมิประเทศ เพิ่งประจักษ์ใจองครักษ์หนุ่มแห่งเมฆราช
ลำนารา แม่น้ำสายหลักสายเดียวแห่งภูแสนผา สายน้ำที่ไหลลงมาจากยอดเขานาราคีรี แรงด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่าสองพันเมตร แม่น้ำที่กั้นภูแสนผาให้ตัดขาดจากบุคคลภายนอก ทิ้งให้ชาวภูแสนผาอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่สามารถไปมาหาสู่กับคนในเมืองหลวงหรือเขตอื่นๆของเมฆราชคีรีได้อย่างสะดวกเฉกเช่นราษฎรในส่วนอื่นของรัฐ หรือบางทีอาจจะมีบางคนแทบจะไม่รับรู้เลยด้วยซ้ำว่ามีมนุษย์เผ่าพันธ์เดียวกันกับตนปักหลักตั้งรกรากอยู่อีกฟากหนึ่งของภูเขาที่เห็นอยู่เจนตา
ด้วยสภาพภูมิอากาศ สภาพภูมิประเทศ ที่เป็นเกราะป้องกันบุคคลภายนอกได้เป็นอย่างดี ภูแสนผาจึงอยู่อย่างสงบสุขและโดดเดี่ยวจากโลกภายนอก ป่าภูเขาที่บุคคลภายนอกไม่อาจย่างกราย คนพื้นถิ่นเจ้าของเดิมเท่านั้นมีสิทธิ ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้ใครเหยียบ แต่เพราะไม่มีใครหาญกล้าต่างหาก ป่าภูเขาที่มีชาวพื้นถิ่นอาศัยมานานนับร้อยปีโดยปราศจากการรุกรานจากบุคคลภายนอก เขตปกครองตนเองทางตอนเหนือของเมฆราชคีรี
เพียงครั้งนี้มีกระแสพระราชดำรัสแห่งองค์เหนือหัวจักรเมฆาที่จะสืบสานพระราชปณิธานพระราชบิดาให้ลุล่วงในรัชกาลของพระองค์ นโยบายที่จะเสด็จเยี่ยมราษฎรในเขตปกครองตนเองภูแสนผา เพื่อดูแลทุกข์ สุข ของราษฎร รับทราบปัญหาต่างๆ พระองค์จะได้ดูแลราษฎรของพระองค์อย่างทั่วถึง เพื่อให้ทุกคนเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกได้อย่างถูกวิธีและเหมาะสม
เมฆราชคีรีถึงแม้จะเป็นรัฐเล็กๆ แต่ก็อุดมไปด้วยทรัพยากร ประเพณีและวัฒนธรรมที่ถูกสืบสานจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น สิ่งเหล่านั้นจะยังคงถูกรักษาและสืบสานต่อไปได้อีกนานเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของชาวเมฆราชทุกคน เพราะนโยบายเปิดประเทศเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เมฆราชจะต้องเร่งเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเข้ามาตามพระราชดำรัสแห่งเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน ซึ่งก็ถูกถ่ายโอนมาสู่เจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบันซึ่งก็คือองค์เหนือหัวจักรเมฆานั่นเอง
“ ถึงแม้จะให้สิทธิเขาปกครองตนเอง แต่เราก็ต้องดูแลเขาในฐานะที่เป็นเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน “ ทรงตรัสกับคณะเสนาบดีทุกครั้งที่มีการประชุมปรึกษาหารือราชการงานเมือง ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาจากภูแสนผามาถึงพระเนตรพระกรรณ
มีแต่เพียงรายงานประจำปีที่ถูกส่งมาจาก “เจ้าภูฟ้า” เจ้าผู้ปกครองป่าภูเขาคนปัจจุบัน ซึ่งก็ล้วนแต่เรื่องดีๆ ผลผลิต สภาพอากาศ การดำเนินชีวิต ทุกอย่างในรายงานไม่ได้ระบุว่ามีปัญหาแต่อย่างใด
“ ทางนั้นสามารถปกครองคนของเขาได้ดี เออ ดีมากเสียด้วย พระเจ้าค่ะ ” ท่านเสนาบดีถวายรายงาน ถึงจะได้รับรายงานอย่างนั้นแต่พระองค์ก็ทรงตระหนักดีถึงปัญหาของป่าภูเขาที่มีฝนตกหนักเกือบตลอดเวลาในช่วงฤดูฝน สิ่งที่จะต้องเจอทุกปีก็คือน้ำป่าไหลหลาก หรือไม่ก็ดินภูเขาถล่ม เพียงแต่ทางภูแสนผาอาจจะมีวิธีการรับมือกับปัญหานั้นให้บรรเทาเบาบางลงจนไม่จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากส่วนกลาง แต่บรรเทาได้อย่างไร พระองค์ต้องการรู้
ในเมฆราชมี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว เช่นเดียวกับภูแสนผา แต่ฤดูฝนของภูแสนผาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับฤดูฝนในเมฆราช ทั้งที่อยู่ในรัฐเดียวกัน ตลอดฤดูฝนภูแสนผาจะมีฝนตกหนักเกือบตลอดฤดูกาล จนบางครั้งราษฎรไม่สามารถทำมาหากินได้ เพราะต้องวุ่นวายกับการหนีน้ำป่า ดินภูเขาถล่ม เพียงแต่ความคุ้นเคยของคนในพื้นที่ทำให้ปัญหาใหญ่กลายเป็นปัญหาเล็กเพียงเพราะความเคยชินที่ต้องเจอกับมันทุกปีนั่นเอง
“ ถึงแม้เขาจะปกครองดูแลกันได้ แต่ที่เรารู้ ปัญหาของป่าภูเขา อากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแบบนั้น ต้องมีบางหล่ะ อยากรู้ว่า พวกเขาทำอย่างไร อยู่อย่างไร เราเข้าไปดู เข้าไปเห็น จะได้รู้ว่าต้องแก้ปัญหาอย่างไรในระยะยาว ” ทรงรับสั่งพร้อมเหลือบสายพระเนตรมองเหล่าเสนาบดี
ทั้งรู้แม้ท่านเหล่านั้นจะเห็นดีตามพระราชดำรัส แต่ “ใคร” จะเป็นผู้ปฏิบัติ ทั้งหมดมองหน้าและสังขารของแต่ละคน ล้วน “ ส่ายหน้า ” พระองค์ทรงทราบเสนาบดีแต่ละคนพ้นวัยสมบุกสมบันมานานพอควร เพราะทุกท่านล้วนถวายงานมานานตั้งแต่สมัยเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน ที่ผ่านมา”เสด็จพ่อ” ทรงมีพระราชดำรัสเรื่องนี้บ่อยครั้ง แต่ไม่เห็นใครจะสนองราชโองการแห่งเจ้าชีวิตได้ จนกระทั่ง..
“ เมฆา มือของพ่อต้องได้สัมผัสดินทุกก้อน ต้นไม้ทุกต้น น้ำทุกหยด บนแผ่นดิน จำไว้ เจ้าแผ่นดินต้องรู้จักแผ่นดินของตนเองทุกตารางนิ้ว รู้จักประชาชนของเรามากที่สุด รู้เพื่อดูแลให้เหมาะสมกับวิถีชิวิตของเขา ดูแลเขาให้สมกับที่เขาเคารพนับถือและไว้วางใจให้เราดูแลเขา โลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากมาย และเมฆราชของเรามีเรื่องต้องพัฒนาอีกเยอะ หากเราต้องการเปิดรับโลกภายนอก เราต้องเปิดโลกภายในเมฆราชของเราให้ชัดเจนก่อน โดยเฉพาะพื้นที่รอบๆนอก ที่เราแทบไม่มีโอกาสได้สัมผัส “
กระแสพระราชดำรัสสุดท้ายก่อนเสด็จไปภูแสนผา รอยแย้มพระโอษฐ์ สายพระเนตรที่บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นในพระทัย เสียดายนักพระผู้ทรงเสด็จไปแต่เสด็จกลับมาอย่างไร จนบัดนี้ทุกคนในเมฆราชยังจำติดใจ ทั้งวันแรกเสด็จ และ วันที่เสด็จกลับ “ บ้าน ”
“ พ่อ ดูแลตัวเองด้วย กระหม่อม ” แววพระเนตรที่ไม่แปลกจากเจ้าแผ่นดิน แต่คำเรียกขานดั่งเช่นพ่อ-ลูก สามัญ
“แล้วอาภา กับ ดารา อยู่ที่ใด หือ เมฆา” พยักพระพักตร์พรัอมตรัสถึงพระราชธิดา สายพระเนตรมองไปรอบๆ อย่างแปลกพระทัย ที่ไม่เห็นทั้งสองพระองค์ นี่ท่าจะไปซนที่ไหนอีกแล้วลูกพ่อ ทรงดำริในพระทัย
“ เออ กระหม่อม น้องทั้ง 2 รอส่งเสด็จที่ป่าท้ายเมืองโน่น ” รับสั่งตอบอึกอัก ด้วยเกรง “ พ่อ ” จะโกรธ
“ อะไรนะ ดารา กับ อาภา ไปที่ไหนนะ ท้ายเมือง หรือท้ายตำหนัก ” รับสั่งกึ่งแปลกพระทัย
“ น้องไปรอส่งเสด็จที่ป่า เออ ท้ายเมืองพระเจ้าค่ะ อินทรว่า ไปกันตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง อัคนิน ตามไปด้วย กระหม่อม ” น้ำเสียงมั่นใจขึ้นมาหน่อย ก็แน่ล่ะ ท่าทาง “พ่อ” ไม่ได้บ่งบอกว่าโกรธสักนิด สายพระเนตรออกจะปลาบปลื้มแกมเอ็นดูด้วยซ้ำไปเมื่อเอ่ยถึงราชกุมารีทั้งสอง
“ อืม อัคนินไปด้วยรึ ก็ดีเหมือนกันนะ ลูกชายส่งที่นี่ล่ะ พ่อจะรีบออกเดินทางเสียที จะได้เห็นหน้าเจ้าจอมซนของพ่อ ก่อนไปบ้านแม่ ” รับสั่งอย่างสบายพระทัย ก่อนจะชักอาชาทรง ให้พระพักตร์กับราชองครักษ์แสดงว่าพร้อมออกเดินทาง
“ เอาหละ ได้เวลา พ่อไปก่อน เดี๋ยวจะสายเสีย เพราะประชาชนเองก็มารอส่งพ่อมากมาย ”
“ พระเจ้าค่ะ ”
“ ลูก ดูแลบ้านให้ดี ดูแลน้องๆด้วย แล้วพ่อจะกลับ ”
“ รับด้วยเกล้า พระเจ้าค่ะ ” พระโอรสถวายคำมั่น องค์เหนือหัวชักอาชานำหน้าคณะติดตาม ออกเดินทางเพื่อไปดูและสัมผัสแผ่นดินด้วยหัตถ์แห่งพระองค์เอง และแผ่นดินที่พ่อกำลังจะเดินทางไปนั่นแม่เคยประทับมาก่อน
ระหว่างทางเสด็จฯราษฎรที่มีถิ่นพำนักในเมฆราช และเขตใกล้เคียง พอทราบข่าวจะเสด็จป่าภูเขาที่ไม่ค่อยจะมีใครเคยได้สัมผัสมาก่อน ต่างพากันมารอส่งเสด็จองค์เหนือหัวอินทรเมฆา พร้อมตะโกนคำถวายพระพร
“องค์เหนือหัว ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ “ ตลอด 2 ข้างทางอื้ออึงไปด้วยเสียงถวายพระพร องค์เหนือหัวอินทรเมฆาทรงโบกพระหัตถ์ให้กับพสกนิกรของพระองค์ รอยแย้มสรวลที่อบอุ่น แววพระเนตรที่นุ่มนวลแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและเตรียมเมฆราชให้พร้อมรับกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป เตรียมความพร้อมประชาชนของพระองค์ให้รู้และรับในสิ่งที่พอเหมาะพอควรกับวิถีชีวิตดั้งเดิมและวัฒนธรรมพื้นถิ่นตามชาติพันธ์ของชาวเมฆราช
“ ฝ่าบาท ทรงพระเจริญ ”เสียงถวายพระพรเริ่มเบาลง และจางหายไปในที่สุด เพราะขบวนได้เสด็จออกนอกเมฆราชนิเวศมุ่งสู่ป่าท้ายเมือง เส้นทางมุ่งสู่ภูแสนผา

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น