วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ภูอิงฟ้าผาแต้มดาว ตอนที่ ๒



ที่ป่าท้ายเมือง....นอกเขตเมฆราช....

พี่อัคนิน เมื่อไหร่  พ่อ จะมาสักที นี่มันจะเย็นย่ำแล้วนะ คำถามที่แสดงความสนิทชิดเชื้อแต่ก็ให้ความเคารพในที เอ่ยถึงบุคคลที่สามแบบสามัญชนเมื่ออยู่กับพี่อัคนิน ดวงเนตรซึ้งฉายแววซุกซน แต่ก็แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น มองด้วยแววสงสัยมายังคนที่ถูกเรียก พี่ ในบางครั้ง และหลายๆครั้งก็มักจะตัดคำนี้ทิ้งไปซะง่ายๆ เหลือแต่ อัคนิน สั้นๆ

ตาแบบนี้ เหมือนแม่ ลูกแฝดทั้ง 3 คนของพ่อ ตาเหมือนแม่ พ่อเคยบอกแบบนั้น แม่ ผู้มีเชื้อสายคนป่าภูเขา แม่เป็นธิดาของผู้ปกครองป่าภูเขา เพราะเป็นธิดาคนเดียวของผู้ปกครอง จึงถูกส่งไปศึกษาหาความรู้ต่างแดนไม่แตกต่างจากลูกชาย โชคชะตาเปลี่ยน นับจากก้าวออกจากป่าภูเขา

อีกสักพัก กระหม่อม ทรงรอ ชายหนุ่มในชุดลำลอง เสื้อเชิ้ตสีขาว กางกางสีดำ รูปร่างสูงโปร่งแต่บึกบึนตามแบบฉบับของทหาร  ทูลสั้นๆพร้อมก้มศรีษะเล็กน้อยเป็นการแสดงความเคารพในสถานะที่เหนือกว่า แม้จะถูกเรียกพี่ก็ตาม

อัคนิน น้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น แม้นไม่มีคำนำหน้า พี่ เฉกเช่นคนแรก แต่น้ำเสียงนั้นก็เคารพไม่น้อยไปกว่ากัน

กระหม่อม

โน่น พ่อ อาภา พ่อมาแล้ว น้ำเสียงตื่นเต้นของหญิงสาวรูปร่างเพรียวระหงในชุดกางเกงสีดำทมัดทแมง เสื้อสีครามอ่อนๆ มีระบายที่คอ สวมทับด้วยเสื้อคลุมสีฟ้าเข้ม เพื่อความอบอุ่นเนื่องจากช่วงนี้อากาศที่เมฆราชออกจะเย็นหน่อยๆ

พ่อ พ่อ เด็จพ่อ ทางนี้เพคะ องค์อาภาออกวิ่งนำหน้าองค์ดาราและอัคนิน ไปยังผู้กำลังเสด็จพร้อมโบกพระหัตถ์ด้วยความดีใจ

ดารา อาภา ไงลูก ทำไมถึงได้ออกมาไกลขนาดนี้ ตรัสถาม ทั้งที่ทรงทราบมาตลอดว่าราชกุมารและราชกุมารีทั้ง  3 พระองค์พร้อมองครักษ์คู่ใจ มักจะเสด็จไกลจากตำหนักเมฆราชนิเวศเสมอ

พ่อ อาภาอยากไปบ้านแม่ ให้ไปด้วยนะ สุรเสียงของคนทิ่วิ่งมาทีหลัง เครื่องแต่งกายที่ไม่แผกกันอันเป็นความคุ้นชินของข้าราชสำนักตำหนักหลวง เนื่องด้วยทรงเป็นฝาแฝดที่ประสูติในวันเดียวกัน ่างเวลากันนิดหน่อย เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ทั้งสองพระองค์มักจะแต่งกายคล้ายหรือเหมือนกัน เพื่อหลอกเหล่านางใน ทหารมหาดเล็ก หรือแม้แต่พระนมที่ทรงทำหน้าที่อภิบาลตั้งแต่แรกประสูติกาลก็พลอยฟ้าพลอยฝนโดนแกล้งให้สับสนวุ่นวายเล่นเป็นเรื่องสนุกสนาน เบิกบานพระราชหฤทัยทั้งสองพระองค์ยิ่งนัก

อ้าว ลูกสาวคนนี้ ยังไม่ตอบคำถามพ่อเลย กระแสรับสั่งดุแกมเอ็นดู

พ่อคะ ให้อาภาไปด้วยนะ แววพระเนตรเจ้าเล่ห์ สุรเสียงอ้อน หัตถ์เกาะข้อพระกรเสด็จพ่อซึ่งบัดนี้เสด็จลงจากหลังม้าภูเขามายืนอยู่ตรงหน้าพระธิดาแล้ว

คำแทนตัว อาภา บวกสุรเสียงออดอ้อนแบบนี้ จะใช้ก็ต่อเมื่อเจ้าตัวมีความประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่าง หรือสองอย่าง แน่นอน ส่วนใหญ่จะมากกว่าหนึ่งเสมอ คนรอบข้างรู้ดี ถึงเป็นแฝดแต่ลักษณะนิสัยไม่เหมือนกันสักนิดกับผู้เป็นน้องที่แสนจะอ่อนโยน อ่อนหวาน พระทัยเย็นอยู่เป็นนิจ บุคคลิกน่าจะเป็นพี่ซะมากกว่า แต่ความฉลาด ปราดเปรียวนั้นไม่แตกต่าง องค์เหนือหัวยังไม่ทันตรัสกับองค์ที่รบเร้าอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ เพราะสายพระเนตรแลเลยด้านหลังคนพูด

ไม่..อ้าว! ลูกดารา ไง อัคนิน น้องจอมซนของเจ้า ทำเรื่องอีกล่ะสิ

มิได้ กระหม่อม อัคนินทูลตอบพระกระแสรับสั่งพร้อมถวายคำนับองค์อินทรเมฆา

เอาเถอะ เรารู้ น้องน้อยของเจ้าซนแค่ไหน เราจะไปไกล และอีกนานกว่าจะกลับ ฝากดูแลด้วยนะ

ด้วยชีวิต กระหม่อม คำตอบดัง สั้นแต่มั่นคง

เด็จพ่อเพคะ อาภา ขอไปด้วยนะเพคะ หัตถ์เรียวจับข้อพระกรพระบิดาเขย่าเบาๆ

ยัง ยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่อีกไม่นาน พวกเจ้า จะได้ไปแน่นอนพระราชบิดาส่ายพระพักตร์น้อยๆ แววพระเนตรเอ็นดูมองตอบองค์อาภา

อีกไม่นาน เมื่อไหร่เล่าเพคะ ลูกอยากไปตอนนี้ กับเสด็จพ่อนี่นา พระพักตร์ง้ำเล็กน้อยเมื่อถูกขัดพระทัย

ไว้เจ้าเรียนจบแล้ว เจ้าจะได้ไปแน่นอน เพราะอย่างไรนี่เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าทุกคน

แต่ว่า ลูกอยากไปกับเด็จพ่อนี่เพคะ อยากไปตอนนี้ด้วย

ลูกรัก อยู่ทางนี้ ศึกษาหาความรู้ให้มาก รู้หลายอย่าง รู้หลายๆทาง จะได้นำความรู้ที่เจ้าเล่าเรียนมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาความเป็นอยู่ พัฒนาวิถีชีวิตของชาวเมฆราช

ลูกเรียนเยอะแล้ว รู้มากแล้ว และก็ไม่ได้ลงมือทำซะที ปีนี้ลูกอายุตั้งยี่สิบปีแล้ว โตแล้วนะเพคะ คนทูลทำพระพักตร์ง้ำหน่อยๆ เพราะถูกขัดใจ สร้างรอยแย้มพระสรวล ลูกสาวตัวน้อยที่แสนจะซนและดื้อเหลือเกินในบางครั้ง

ยังไม่พอหรอกลูก ในโลกกว้างใบนี้ ยังมีหลายสิ่งให้ลูกต้องเรียนรู้เจ้า...ยังไม่สิ้นกระแสพระดำรัส สุรเสียงแย้งทันที

แต่การได้ปฏิบัติไปพร้อมกับการเรียน จะได้ผลดีกว่ามิใช่หรือเพคะ เสด็จพ่อ

มันก็ถูกจ้ะลูกรัก รู้ก็ไม่สู้เข้าใจ เข้าใจก็ไม่สู้ปฏิบัติ การปฏิบัติสำคัญก็จริงแต่เราต้องรู้พื้นฐานเพื่อเป็นหลักในการลงมือปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง  ที่สำคัญเพราะลูกอยู่ในฐานะที่ต้องดูแลชาวเมฆราชทุกคน จึงจำเป็นต้องรู้ให้มากยิ่งกว่าคนอื่นๆ ไม่ใช่แค่เรียนเอาใบปริญญาเท่านั้น นอกจากรู้เฉพาะวิชาแล้วยังต้องรู้หลากหลายสาขาวิชาด้วย

ทั้งครู ทั้งหมอ ทั้งการเกษตร ก่อสร้าง และอีกตั้งมากมาย แถมบางสาขาลูกได้ออกพื้นที่ฝึกจริงแล้วด้วย ยังคงมีสุรเสียงร่ายยาวถึงสาขาวิชาที่ร่ำเรียนมา

อาภา มานี่จ้ะ อย่าดื้อนักเลย ทำตามที่เสด็จพ่อรับสั่งเถอะ พระขนิษฐา ที่ดูยังไงๆ ก็เหมือนจะเป็นพระภคินีซะมากกว่า ด้วยพระทัยเย็นกว่าองค์โต รับสั่งขึ้นมาบ้าง

  ดารานี่ ก็อาภา อยากจะไป เรารู้นะว่า ดารา ก็อยากจะตามเสด็จน่ะโบ้ยไปให้พระขนิษฐาซะงั้น

อ้าว อาภา คราวนี้ พระขนิษฐาขึ้นเสียงบ้าง แต่ก็ตรัสได้แค่นั้นเอง องค์อาภาก็แทรกขึ้นมาก่อน

ก็ได้ ก็ได้ ลูกยอมก็ได้ แต่ว่าถ้าลูกเรียนสำเร็จแล้ว เสด็จพ่อต้องให้ลูกไปที่ภูแสนผาจริงๆนะเพคะ

แน่นอนจ้ะลูกรัก วันนี้พ่อรู้สึกสบายใจที่จะได้ไปบ้านของแม่เจ้า ไปคราวนี้ อีกนานกว่าพ่อจะกลับ ลูกสาวพ่อ ไหน ไหน มา พ่อกอดซะทีก่อนไป ตรัสพลางกางพระพาหาสวมกอดพระธิดาทั้ง สองพร้อมจุมพิตพระนาลาฏแต่ละองค์ด้วยความอ่อนโยนยิ่ง

เอาล่ะ เสียเวลามามากแล้ว อัคนิน พาน้องๆ กลับได้แล้ว ไป ตรัสบอกองครักษ์ ขณะเสด็จขึ้นหลังอาชาทรง

กระหม่อม ถวายพระพรลา พระเจ้าค่ะ

พ่อจะต้องรีบออกเดินทางก่อนค่ำ อาภา ดารา อย่าดื้อกับพี่ๆล่ะ

พี่ๆที่ทรงเอ่ยถึง ไม่ได้หมายถึงแค่พระโอรสจักรเมฆาเท่านั้น แต่รวมพี่อีก 2 คนคืออัคนินและอินทร ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของเสนาบดีซ้ายและเสนาบดีขวา 2 ตระกูลที่ได้มีโอกาสถวายงานแผ่นดินด้วยความจงรักภักดีมาตั้งแต่รุ่นทวด รุ่นปู่ รุ่นพ่อ จนมาถึงรุ่นลูก  พระโอรส พระธิดา ฝาแฝด มีพระชนมายุน้อยกว่าราชองครักษ์ทั้งสองถึง2 ชันษา แต่เนื่องด้วยความใกล้ชิด ความสนิทชิดเชื้อกันตั้งแต่เล็ก เติบโตมาพร้อมๆกัน ถูกเลี้ยงดูเหมือนๆกัน  ดุจพี่น้องร่วมอุทธรเพราะมารดาของอัคนินและอินทรนั้นถวายการดูแลทั้ง 3 พระองค์ตั้งแต่แรกประสูติก็ว่าได้

เหมือนเพื่อนและยิ่งกว่าเพื่อน เหมือนพี่และยิ่งกว่าพี่ เหมือนน้องและยิ่งกว่าน้อง เป็นคำตรัสขององค์อาภา ผู้แสนจะฉลาด ปราดเปรียว เจ้าเล่ห์นิดๆ และเอาพระทัยตนเองมากที่สุดด้วย ที่สำคัญห้ามนำเรื่องอายุมาพูดว่าใครแก่กว่าเป็นพี่หรือใครอ่อนกว่าเป็นน้อง แต่ขึ้นอยู่กับเวลาและอารมณ์ไหน ใครจะตั้งตนเป็นพี่ ใครจะยอมทำตัวและจำใจเป็นน้องต่างหาก

ลูกจะไม่ดื้อ จะตั้งใจเรียน และจะรู้ให้มากที่สุด ตามที่เสด็จพ่อรับสั่งเพคะ องค์อาภาทรงทูลและถวายสัญญา

ลูกก็เช่นกันเพคะ  เสด็จพ่อ ถวายสัญญาสั้นๆ แต่น้ำเสียงปนอาลัยต่อผู้ที่กำลังจะเดินทาง

ดีมากลูกรักของพ่อ เอาหละ ไปกันเถอะท่านเสนาบดี หันพระพักตร์ไปทางเสนาบดีฝ่ายเหนือ

พระเจ้าค่ะ ฝ่าบาท   เสนาบดีฝ่ายเหนือชักม้านำ มุ่งตรงเส้นทางสู่ป่าภูเขา ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางหลายวันกว่าจะเขาเขตที่ตั้งหมู่บ้าน

บุคคลทั้งสามมองตามขบวนที่กำลังเดินหายเข้าไปในป่า ป่าซึ่งเป็นแนวป้องกันเมฆราชให้ลับตาผู้คน และเป็นเส้นทางเดียวที่เชื่อมต่อไปยังเขตต่างๆในเมฆราช  ไม่ว่าใครต้องการจะเดินทางไปที่ใดในเมฆราช ก็ต้องอาศัยเส้นทางนี้ทั้งนั้น เพราะเมื่อเดินลึกเข้าไปใจกลางป่า จะมีแยกขึ้นเหนือและลงใต้ตามการไหลของลำนารา

ฝ่าบาท เสด็จกลับตำหนักเมฆราชเถิดพระเจ้าค่ะ อัคนินกราบทูล

จ้ะ ไปเถอะอาภา พวกเราก็มีงานต้องทำเหมือนกันองค์ดาราตรัส

นั่นนะสิ ดาราชักจะหิวหน่อยๆแล้ว เรามาแข่งกันเถอะ ใครจะถึงเมฆราชนิเวศก่อนกัน ใครไปถึงทีหลังต้องดูแลม้าทั้งคอกด้วยนา น้ำเสียงซุกซน แสดงว่ามั่นพระทัยว่าจะเป็นที่หนึ่ง จึงกล้าเสนองานที่เกลียดแสนเกลียดขึ้นมาล่อ

อะไร..... อ้าว อาภา หยุดก่อน หยุดเดี๋ยวนี้นะ นี่อย่าโกงกันสิ พี่อัคนิน เร็วเข้า ดาราไม่ยอมล้างคอกม้าหรอกนะ ถ้าดาราแพ้อาภา อัคนินต้องรับผิดชอบดูแลคอกม้าแทนดาราด้วย ชักช้านัก ดาราไปก่อนนะอัคนิน นั่นไง พอเริ่มเอาจริงเอาจัง ก็เริ่มไม่มีพี่ไม่มีเชื้อมาเกี่ยวข้องแล้ว

ฮ่า ฮ่า ฮ่า อัคนินได้แต่ส่งเสียงหัวเราะ สายตามองตามวรองค์ที่กระโดดขึ้นม้าทรง พร้อมกระตุกบังเหียนกระตุ้นให้อาชาทรงออกวิ่งเพื่อให้ทันองค์อาภา

ในขณะที่อัคนินยังคงใจเย็น ใช้มือลูบม้าคู่กายเบาๆเป็นการบอกใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อน เพราะวันนี้อากาศในช่วงใกล้ค่ำกำลังเย็นสบายแถมทิวทัศน์ของเมฆราชในต้นฤดูฝนแบบนี้ก็สร้างความสบายตาสบายใจให้กับเขาเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงอยากจะนั่งสบายๆ รับลมเย็นๆบนหลังม้ามากกว่ารีบร้อนกลับตำหนัก ถึงแม้ว่าจะต้องดูแลม้าทั้งคอกก็เถอะ อัคนินยิ้มและผิวปากเพลงที่คุ้นเคยอย่างสบายใจ  ถึงตำหนักเมื่อไหร่ก็รู้ล่ะว่าต้องไปดูแลคอกม้า

ม้าพาหนะประจำกายสำหรับคนที่อาศัยในสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาสูง รถยนต์จะมีเฉพาะในเขตพระราชวังเท่านั้นและมีน้อยคันมาก นานๆถึงจะถูกนำออกมาใช้งานสักครั้งหนึ่ง  และโดยส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะนิยมกันสักเท่าไหร่ เพราะองค์เหนือหัวเคยตรัสว่าเปลืองพลังงานและสร้างมลพิษเป็นที่สุด จึงไม่โปรดนัก หากจะต้องเดินทางไปไหนในระยะใกล้ๆก็จะทรงเดินถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว หากไกลอีกหน่อยก็ใช้รถม้า แต่ถ้าจะต้องออกมาถึงป่าท้ายเมืองล่ะก็ต้องเป็นม้าเท่านั้น เพราะสะดวก รวดเร็ว คล่องตัวเหมาะกับสภาพภูมิประเทศเช่นเมฆราช

เมฆราชคีรีเป็นรัฐเล็กๆ ปกครองด้วยระบบกษัตริย์ แบ่งเขตปกครองเป็น 19 เขต 9 เขตอยู่ตอนกลางของเมฆราช 5 เขตอยู่ทางตอนเหนือ อีก 5 เขตอยู่ทางตอนใต้ ถึงแม้ไม่มีทางออกทะเล แต่มีแม่น้ำนาราที่ไหลลงมาจากยอดเขานาราคีรี ตัดผ่านตามแนวเหนือใต้ ตอนกลางและตอนใต้มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุด อากาศเย็นสบายตลอดปี ในน้ำมีปลาในนามีข้าว

ชาวเมฆราชส่วนใหญ่อาศัยอยู่บริเวณตอนกลางของรัฐและถือว่าใกล้ชิดกับพระราชวงศ์ที่สุด เพราะเจ้าแผ่นดินตั้งแต่รัชกาลก่อนจะเสด็จออกเยี่ยมเยียนประชาชนในตอนกลางและตอนใต้เกือบจะตลอดทั้งปี เป็นภาพที่ชินตา และสร้างความซาบซึ้งใจต่อประชาชนทุกคนเสมอมา

ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับประชาชนทางตอนเหนือในเขตภูแสนผา เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่ยากแก่การเดินทาง ความแตกต่างอย่างสุดขั้วของภูมิประเทศที่อัดแน่นอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ทำให้ภูแสนผาเสมือนถูกตัดขาด ทางส่วนกลางจึงต้องปล่อยให้คนพื้นที่ดูแลปกครองกันเอง มีเงื่อนไขเพียงให้รายงานสภาพความเป็นไปให้ทางส่วนกลางรับทราบตลอดเวลา และสามารถร้องขอความช่วยเหลือได้ตามความจำเป็น  ผู้ปกครองภูแสนผามีคำเรียกขานนำหน้าว่า เจ้า ซึ่งไม่ได้หมายถึงเจ้าแผ่นดิน แต่เป็นเชื้อสายเจ้าที่ปกครองภูแสนผามานานตั้งแต่อดีต ผู้ปกครองคนปัจจุบันคือ เจ้าภูฟ้า

เพราะนโยบายเปิดประเทศทำให้เมฆราชเป็นที่รู้จักมากขึ้น เหล่าเสนาบดีรวมทั้งผู้มีอันจะกินทั้งหลายนิยมส่งลูกหลานไปเรียนต่างแดน สำนักพระราชวังเองก็มีทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับนักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดทุนทรัพย์

แต่ถึงแม้จะถูกเปิดหูเปิดตาให้กว้างเพียงใด ชาวเมฆราชจะถูกปลูกฝังเรื่องจิตสำนึกรักและหวงแหนในแผ่นดินเกิด การจะรับสิ่งใหม่ๆไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือความคิดหากขัดแย้งต่อความเชื่อพื้นถิ่นและโบราณราชประเพณีเดิมๆ ก็จะต้องผ่านมติที่ประชุมจากผู้นำเขตต่างๆ ก่อนทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เมฆราชยังคงรักษารากเหง้าบรรพบุรุษ และวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเองได้อย่างเหนียวแน่น แต่ไม่แน่ว่าอีกหลายปีข้างจะยังคงเป็นเช่นนี้หรือไม่  ยากจะคาดเดาหากส่วนกลางไม่สามารถเข้าถึงประชาชนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะทางตอนเหนือที่สภาพภูมิประเทศยากต่อการเข้าถึง

เมื่อทั้ง 3 พระองค์สำเร็จการศึกษา และองค์รัชทายาทจักรเมฆาได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าแผ่นดินต่อจากเหนือหัวอินทรเมฆา  จึงมีพระราชสาส์นแจ้งไปยังภูแสนผาถึงพระราชประสงค์ที่จะเสด็จเยือนป่าภูเขา และให้ทางเจ้าภูฟ้าส่งคนนำทางมายังเมฆราชเพื่อนำข้าราชสำนักอันประกอบไปด้วย ครู หมอ ผู้มีความรู้ในสาขาต่างๆ รวมทั้งเหล่าทหารในกองทัพและกรมราชองครักษ์ในฐานะอาสาสมัครที่มีความเชี่ยวชาญเดินทางไปยังภูแสนผา

 เนื่องจากเมฆราชคีรีร้างจากสงครามมานาน เพราะนโยบายการฑูตอันดีเยี่ยมตั้งแต่เปิดประเทศ ทำให้ทหารปรับเปลี่ยนหน้าที่ความรับผิดชอบเพิ่มเติม นอกจากถวายการดูแลองค์เหนือหัวและเชื้อพระวงศ์แล้ว ยังต้องเพิ่มหน้าที่เป็นนักพัฒนาไปโดยปริยาย ตามกระแสพระราชดำรัสเจ้าแผ่นดินองค์ปัจจุบัน ทหารมีไว้รบในยามสงคราม แต่ยามสงบทหารต้องเป็นนักพัฒนาและนักจิตวิทยาไปในตัว ทหารและราชองครักษ์หลายคนในหน่วยก็ถูกส่งตัวไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในต่างแดน โดยทางสำนักพระราชวังเน้นสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเมฆราชคีรีเป็นหลัก

การเดินทางไปภูแสนผาในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มองค์หญิงจันทร์อาภากับอัคนินและคณะผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งจะต้องไปที่ภูอิงฟ้า กลุ่มองค์หญิงจอมดารากับอินทรและคณะผู้เชี่ยวชาญอีกคณะต้องไปที่ผาแต้มดาว ซึ่งเป็นสองเขตที่ประสบปัญหามากกว่าเขตอื่นๆในภูแสนผา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น