วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กลิ่นแก้วหิมาลัย ตอนที่ ๑





ชายหนุ่มในชุดทหารบกเจ้าของนัยน์ตาคมเข้ม จมูกโด่งคมสัน รูปร่างสูงใหญ่ตามแบบฉบับของทหารแท้ กำลังก้าวยาวๆไปตามทางเดินระหว่างอาคารในกองบัญชาการทหารสูงสุด เพื่อเข้าพบผู้บัญชาการทหารตามคำสั่ง ลับ และ ด่วนที่สุด  ใบหน้าที่บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นแต่ดวงตานั้นมีแววครุ่นคิดติดอยู่ตลอดเวลา เพราะคำสั่งที่ได้รับเมื่อวานตอนเย็น ทำให้เขาถึงขั้นนอนไม่หลับจนถึงตอนเช้าเขาตรงดิ่งสู่สนามบินประจำจังหวัดเพื่อเข้ากรุงเทพฯ และทันทีที่ถึงบ้านในกรุงเทพฯ เขาก็บึ่งรถคู่ใจมุ่งสู่กองบัญชาการโดยที่บิดามารดายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกชายสุดรักสุดห่วงเพียงคนเดียวกลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ คำสั่งลับและด่วนที่สุด เป็นเรื่องอะไรกัน?

เฮ้ย ร้อยล้าน โว๊ย ร้อยล้าน ไอ้ผู้พัน ไอ้พันแสนโว๊ย เสียงตะโกนเรียกจากด้านหลังปนกันทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง พร้อมสรรพด้วยตำแหน่งทำให้ความคิดชายหนุ่มชะงักไว้เพียงเท่านั้น พันแสนหยุดรอ หันไปมองคนที่กำลังเดินเร็วๆมาหา

อ้าว ไอ้เสธ. แกมาทำอะไรที่นี่ แล้วนี่อยู่กันแค่นี้จะตะโกนอะไรกันหนักหนาว่ะ พันแสนถามชายหนุ่มที่ทำท่าจุกอยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย

แหม ไอ้นี่วอนซะล่ะ ข้าตะโกนเรียกเอ็งตั้งกะหน้าประตู ตอนกำลังจอดรถอยู่ แต่แกทำหูทวนลมไม่ได้ยิน จะรีบไปตาม....ที่ไหนว่ะ เดินซะเร็ว วิ่งยังแทบไม่ทัน เสธฯ ตอบ มือสองข้างกุมที่ท้องน้อยที่มีอาการจุกน้อยๆแถมด้วยอาการลิ้นห้อยให้รู้กันชัดๆว่าเหนื่อย

อ้าว เหรอ ข้ามัวคิดอะไรเพลินๆ ว่ะ โทษทีเพื่อน เออ! ตกลงแกเข้ากรุงมาทำไมว่ะเนี่ย พันแสนยังคงสงสัยกับการที่ตนเองได้พบปะกับเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน เนื่องจากภาระหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องประจำการที่จังหวัดชายแดน ทำให้ยากที่จะเจอกันบ่อยๆ

โห เอ็ง ยังจะมาถาม ทีแกยังออกจากถ้ำเข้าเมืองศิวิไลซ์ได้ ข้าก็มาบ้างสิว่ะ เอ๊ะ!!..”เสธ ตอบอย่างกวนๆกลับไป พอพูดจบก็ให้นึกเอะใจ ถึงกับร้อง

หรือว่า เอ็ง... สองเสียงประสานขึ้นมาพร้อมกัน เพราะต่างคนต่างนึกถึงคำสั่ง ลับและด่วนที่สุด ที่ทำให้สองเกลอที่ไม่ได้เจอกันเป็นปีต้องโคจรมาเจอกัน

นั่นไง นั่นไง กูว่าแล้ว ไหมล่ะ สักวันพันแสนมันต้องมาป๊ะกะพันกรจนได้ ว่าแต่... พันกรหันซ้ายหันขวามองหาสิ่งที่เจ้าตัวคาดคิดว่าจะได้เจอ เพราะถ้าเมื่อใดพันแสนมาเจอกับพันกร ก็ต้องไม่พ้นจะต้องมีใครอีกสักคนโผล่มา

ผู้พัน เสธฯ ทางนี้ วู้ วู้ การสนทนาระหว่างสองหนุ่มชะงักลงแทบทันที เมื่อหันไปตามเสียงใสๆ ที่ตะโกนโหวกเหวก บัดนี้เจ้าของเสียงยืนทำหน้าระรื่นอยู่ข้างหน้าสองหนุ่ม

  เฮ้ย ยัยปัน ไอ้ผู้กองตัวแสบ เสธฯ พันกรทำเสียงเซ็งขึ้นมาทันควัน โอ้ พระเจ้าช่วย ไม่นะ ประโยคที่ตามมา ทำให้รู้ทันทีว่าต่อจากนี้ไปชีวิตตนต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ทั้งที่เจ้าตัวพอจะเดาได้บ้างเมื่อเห็นหน้าเพื่อนรัก กับคำสั่งที่ตนเองได้รับ

 วู้ อะไรทำให้สิงห์เหนือพันแสน เสือใต้พันกร ออกจากถ้ำมาได้ค่ะเนี่ย หญิงสาวในชุดเครื่องแบบที่ติดเครื่องหมายระบุตำแหน่งผู้กอง เอ่ยชื่อจริงพร้อมฉายาประจำตัวของรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงและสายตาล้อเลียน รอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้า ทำให้หญิงสาวดูเด็กขึ้นมาทันที และน่าดูยิ่งขึ้นด้วยรูปร่างที่สูงเพรียว ดูดี สมส่วน ไม่อ้วน ไม่ผอมเกินไป

แล้วนางแมวป่าตัวแสบอย่างแกเนี่ย ออกจากป่าลงจากเขามาได้ไง...หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ฉันคิดนะโว๊ย พันกรถามอย่างหมดอารมณ์สนุก

แหม เสธ. ฟังจากน้ำเสียง คงไม่ต้องตอบก็รู้ล่ะ ว่าออกมาได้ไง ไปเหอะ ชักช้า เสียเวลา เดี๋ยวท่านจะคอย ระวังโดนโทษหนัก จะหาว่าน้องนุ่งไม่เตือน หญิงสาวตัดบท พร้อมกับเดินแทรกตัวระหว่างสองหนุ่มเดินนำไปตึกบัญชาการทันที โดยไม่รีรอ

ดู๊ เอากะมันสิ ยัยตัวแสบเอ๊ย เห็นหน้ารู้เลยว่าต้องได้เรื่องแน่ๆ  โอ๊ย! ยิงว่าปะทะกับกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เสธ.พันกร บ่นตามหลัง พร้อมกับอาการมือเท้าสะเอวบอกถึงอารมณ์ระอา

ไปเหอะน่า พันแสนตบไหล่เพื่อนให้เดินตาม

พอเดาได้ไหม ว่าเรื่องอะไร พันกรถามเพื่อนรักในขณะที่ก้าวตามพันแสน

ฮืม ไม่ค่อยแน่ใจว่ะ เพราะสถานการณ์บ้านเราตอนนี้ มันหลายเรื่องอยู่ ตอนแกขับรถผ่านเห็นความวุ่นวายไหมล่ะ

มันยุ่งยิ่งกว่ายุงตีกันว่ะ เห็นแล้วปวดเฮดเหลือเกิน พันกรส่ายหน้าระอาใจกับเหตุแบ่งแยกสี สารพัดสีที่เกิดขึ้นในประเทศตอนนี้

นั่นสิคนเราความคิดต่างกันไม่พอ ยังต้องเอาสีมาแบ่งแยกความคิดกันอีก ข้าไม่เห็นประโยชน์สักนิด พันแสนกล่าวอย่างเหนื่อยใจ

โชคดีแค่ไหนที่เราอยู่ชายแดน คำว่าโชคดีของพันกร น่าจะหมายถึงไม่ได้เห็นความวุ่นวายนั่นมากกว่า

อย่าคิดว่าจะโชคดีไปนาน เพราะถ้าวุ่นกันไม่จบ เราก็คงหนีไม่พ้นหรอก คำพูดของพันแสนบอกว่าต่อไปไม่เพียงแค่ได้เห็น แต่อาจจะได้เข้ามามีส่วนรวมด้วย แต่จะเป็นแบบไหนเท่านั้นเอง

สองหนุ่มยังคงสนทนาถึงเรื่องความวุ่นวายในประเทศที่เกิดมาต่อเนื่องหลายปีที่ผ่านมา ต่างคนก็คาดเดาไปว่านี่กระมังเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งสามคนต้องโคจรมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานเหลือเกิน นอกเหนือจากการพูดคุยทางโทรศัพท์เพื่อไถ่ถามทุกข์สุขแล้ว ทั้งพันแสนและพันกรก็แทบจะไม่เคยได้เห็นหน้ากัน ทั้งที่บ้านในกรุงเทพฯก็อยู่ติดกัน พ่อแม่ก็เป็นเพื่อนรักกัน พ่อกับแม่ตั้งชื่อให้พันแสนคล้องจองกับพันกรนอกจากชื่อจะคล้ายๆกันแล้ว ก็ยังเกิดวันเดือนปีเดียวกัน กินอยู่หลับนอน เรียนหนังสือ ตั้งแต่อนุบาลยันจบนายร้อยก็ที่เดียวกัน

เสียงเงียบลง เมื่อยัยปัน ที่พันกรเรียก ทำท่าจุ๊ปากให้เงียบหลังจากเคาะประตูห้อง 3 ครั้งเป็นการขออนุญาตจากนาย เชิญ  หญิงสาวเปิดประตูทันทีที่ได้ยินเสียงตอบรับ

สวัสดีครับนาย สองหนุ่มที่ตามหลังหญิงสาวเข้ามาไม่ลืมทำความเคารพผู้เป็นนาย

สวัสดีค่ะป๋า เสียงปันนรีเอ่ยล้อเลียนพร้อมกับเดินไปกอดเอวท่านนายพลเมื่อเห็นว่าท่านอยู่ในห้องเพียงลำพัง ทั้งที่โดยปกติแล้วในเวลาราชการและอยู่ต่อหน้าคนอื่นแล้ว จะไม่มีโอกาสเห็นท่าทางแบบนี้ของพ่อลูกเลย

นี่ๆ ให้มันเบาๆหน่อย ยัยปัน เพิ่งจะแยกกันเมื่อไม่กี่นาที ทำท่ายังกะเพิ่งเจอพ่อ  นายพลทำเสียงดุแกมเอ็นดู ปันนรี ลูกสาวคนเดียว ไง มาพร้อมกันเลยเหรอหันมาถามสองหนุ่ม เมื่อลูกสาวถอยห่างออกไป

ปันเห็นยืนโม้กันอยู่ทางเดินแน่ะป๋า หน้านี่ยุ๊ง ยุ่ง โดยเฉพาะพี่พันแสนนั่น เครื่องหมายคำถามเต็มหน้าเลย ปากรายงานบิดา แต่หันไปทำหน้าล้อเลียนใส่พันกร ขณะที่เจ้าตัวนั่งลงโซฟารับรองโดยไม่ต้องรอใครเชิญให้นั่ง

ว่าไงร้อยล้าน นานๆเข้ากรุงที เป็นไงบ้าง ท่านนายพลเดินไปตบไหล่ชายหนุ่มและเรียกชื่อเล่นพันแสนอย่างคุ้นเคย

ก็ไม่คุ้นครับนาย นานๆมาทีก็ดูวุ่นวาย พันแสนตอบด้วนน้ำเสียงเรื่อยๆ ขณะเดินตามท่านนายพลไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามกับปันนรี

โธ่นายครับ ไอ้นี่มันรักป่ายิ่งกว่าเมือง กี่ปี กี่ปี แล้วที่มันไม่กลับเข้าเมือง พันกรพูดอย่างรู้ใจเพื่อน ผมกลับมาที ต้องฟังพ่อกับแม่บ่นเรื่องมันแทบทุกวัน พ่อน่ะไม่เท่าไหร่ แต่กับแม่เนี่ย ผมแทบจะไม่ได้หลับได้นอนเลย กลับมาทีต้องไปค้างที่บ้านมัน ต้องทำตัวเป็นลูกชายแทน

ฮ่าๆๆ นั่นสินะ ยัยปันก็โดนบ่อยๆเหมือนกัน เสียงท่านนายพลหัวเราะ เพราะพอจะนึกออกล่ะว่าความห่วงใยของมารดาพันแสนนั่นเป็นอย่างไร ก็น้องสาวๆแท้ของท่านเอ็งนี่นา

นี่ก็ป่าเหมือนกันนะเสธ. แต่เป็นป่าคอนกรีตไง หาสีเขียวไม่ค่อยจะได้ มีสี...กับสี...นั่นเต็มเมือง...ไม่รู้ว่า... เสียงปันนรีแทรกขึ้นมา น้ำเสียงแกมประชดหน่อยๆ

พอๆ เลยยัยปัน อย่าพูดเรื่องสีนั้นสีนี้ในกองบัญชาการ พันกรตัดบทก่อนที่จะมีคำพูดที่ไม่เหมาะหลุดออกจากปากยัยตัวแสบ

นี่แหละน่า เขาว่าพวกหลังเขา มัวแต่ติดอยู่ชายแดนเลยไม่ได้ยินว่าเขาเรียกพวกเรายังไงบ้าง หญิงสาวยังกล่าวต่อไป

ทำยังกะตัวเองอยู่เมือง มันก็ชายแดนครือๆกันแหละวา ว่าแต่เขาเรียก พวกเรา ว่าอะไรว่ะ
เก๊าะ ทหารแตงโม ไงล่ะ ปันนรีตอบแบบไม่ขยายความมาก

อะไรว่ะ? ทหารแตงโม พันกรทำหน้างง เพราะตามมุกยัยตัวแสบไม่ทัน

เก๊าะ ข้างนอกสีเขียว ข้างในสีด....ไง คำเฉลยเล่นเอาคนฟังอ้าปากค้าง

เฮ้ย! เอาอะไรมาพูด พอตั้งสติได้เสียงพันกรก็ดังแหลมขึ้นมาทันที

จริ๊ง ปันนรีขึ้นเสียงสูงยิ่งกว่า ไม่รู้อีกล่ะสิ ตอนนี้พวกเราน่ะ เป็นขี้ปากชาวบ้านยังไงบ้าง เสียงเอ่ยต่อมาบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวค่อนข้างหงุดหงิดกับคำว่าขี้ปากสักเท่าไหร่

 ขี้ปากชาวบ้าน? ” คราวนี้เป็นเสียงพันแสนแทน ความที่ตัวเขาเองนั่นอยู่ชายแดนนานหลายปี แทบจะไม่ได้เข้ามากรุงเทพฯเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะ 4-5ปีหลัง แต่ก็พอจะรู้เรื่องความวุ่นวายที่เกิดขึ้นพอสมควร เพราะทุกครั้งที่โทรฯมาคุยกับบิดามารดา ท่านทั้งสองก็มักจะปรารภเชิงบ่นแกมรำคาญให้ฟังเสมอๆ ซึ่งความวุ่นวายทางชายแดนก็ไม่แตกต่างกันนัก จนบางครั้งตัวเขาก็พาลคิดไปว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่จะเกี่ยวพันกันไม่รู้จบสิ้น

แน่ะ พี่ร้อยล้าน อย่าบอกนะว่าตัวก็ไม่รู้อีกคน ปกติตัวไม่ค่อยพลาดข่าวเล็กๆน้อยๆ ที่เกี่ยวข้องกับสายงานของตัวเองนี่น่า ปันนรีแซวพันแสนด้วยชื่อเล่นอย่างสนิทสนม

เออ ยอมรับ ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยได้ติดตามข่าว เพราะมีเรื่องยุ่งๆทางโน้นแยะ วันๆก็ขลุกอยู่กับชาวบ้าน ข้าวปลาแทบไม่ได้กิน ข่าวสารไม่ต้องพูดถึง แค่เรื่องในพื้นที่ก็ทำเอาแย่

ก็พอเข้าใจล่ะ แต่อย่าให้น้องพูดเลย โน่นแนะ ปันนรี ท่าหน้าพยักเพยิดไปที่นายแทน

นายครับ คราวนี้พันแสนหันมาทางท่านนายพล

ทานเช้ากันมาหรือยังล่ะ ถ้าเรียบร้อยแล้วจะได้เริ่มเรื่องเลย

โอ๊ย ไม่เป็นไรครับนาย ปกติเช้าๆ ผมกับร้อยล้านก็ไม่ค่อยมีอะไรตกถึงท้องอยู่แล้ว ว่าแต่ยัยตัวแสบนั่นเถอะ พันกรเป็นฝ่ายตอบแทนพันแสน แต่ก็อดห่วงใยปันนรีไม่ได้

เรียบร้อยพร้อมป๋าแต่เช้าแล้ว มาพร้อมกันแหละ แต่ขอไปทักทายเพื่อนฝูงก่อน ประสาไม่ได้เจอกันมาแรมปี ปันนรีตอบ

งั้นก็เริ่มเรื่องเลยแล้วกัน เพราะว่ากำหนดการเดินทาง ออกมาแล้วด้วย

การเดินทาง ? สามเสียงประสานขึ้นพร้อมกัน

พันวาสี ท่านนายพลพูดเบาๆ ผู้พันคีรันแห่งกองกำลังกู้ชาติ ท่านนายพลเว้นจังหวะ ไงพอจะเดาออกหรือยังล่ะร้อยล้าน พันกร ยัยปัน นายพลยั้งเชิงลูกน้องทั้งสาม

เออ ท่านครับเราวุ่นในประเทศไม่พอ ยังจะข้ามเขตไปยุ่งกับประเทศเพื่อนบ้านอีกเหรอครับท่าน  พันกรทำน้ำเสียงประหลาดใจกึ่งขำๆ ความคิดของท่านๆ ทั้งหลาย ทั้งที่ใจพอจะคาดการณ์อะไรได้บ้าง จากการที่เขาค่อนข้างไปๆกลับๆกรุงเทพฯ บ่อยครั้งกว่าพันแสน กระนั้นเขาก็ยังตกข่าวแบบที่ปันนรีเอ่ยมาก่อนหน้านี้ไปจนได้สิน่า มันน่า

ขณะที่พันแสนมีสีหน้ายุ่งยากใจ ความคุ้นเคยกับผู้พันคีรันนั่นเป็นอีกเรื่อง แต่เรื่องที่ท่านนายพลพูดถึงการเดินทางนี่ก็ยุ่งยากอีก ต้องไปพันวาสีหรือ?

นั่นสิ ครับท่าน เรื่องภายในของเราจะเกี่ยวอะไรกับผู้พันคีรันล่ะครับ หรือว่า.. พันแสนนึกไปถึงข่าวลือที่เขาเคยได้ยินมาบ้าง หรือว่าทางผู้ใหญ่ทั้งหลายท่านคิดว่าเป็นข่าวจริง

ไม่ผิดหรอก ท่านนายพลยอมรับ เพราะพอจะเดาความคิดพันแสนได้

โอ๊ย! ช่างคิดกันไปด๊าย เสียงปันนรีแหลมปี๊ด

เฮ้ย! ยัยนี่ พ่อไม่ได้เล่าให้ฟังก่อนหรือไงเนี่ย ทำสุ้มทำเสียงยังก๊ะเพิ่งรู้เรื่องพร้อมๆกับพวกพี่ พันกรทำน้ำเสียงคล้ายๆ ไม่เชื่อ

ลับและด่วนที่สุดน่ะ ใครเขาจะบอก ถึงจะเป็นลูกเป็นเต้าก็เหอะ ทำยังกะตัวไม่รู้จักนายตัวเองงั้นแหละ ปันนรีส่งสายตาค้อนๆให้พันกร

แหม พี่ก็นึกว่าจะมีเผลอๆ กันบ้างหรอก พันกรหัวเราะแฮ่ๆ ยกไม้ยกมือเกาหัวเขินๆ เพราะสายตาดุของท่านนายพล แถมด้วยปากขมุบขมิบของยัยตัวแสบ

  เป็นไปไม่ได้หรอกครับนาย พันวาสีเองก็วุ่นวายจนทำให้ผู้พันคีรันแทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ คงไม่มีเวลาว่างจนต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเราได้  พันแสนค้านด้วยความสนิทสนมคุ้นเคยเป็นการส่วนตัวกับผู้พันคีรันผู้นำฐานหน้า ที่ตั้งหลักของกองกำลังกู้ชาติพันวาสี เพราะมีโอกาสเข้าฝึกหลักสูตรพิเศษด้วยกันบ่อยครั้งนั่นเอง จากเพื่อนร่วมสายอาชีพกลายเป็นเพื่อนที่สนิทสนม จนพอจะรู้เรื่องส่วนตัวของกันและกันพอสมควร

ผู้ใหญ่สายทหารก็ไม่ได้เชื่อแบบนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์นะ เพราะหลายๆ ท่านก็คุ้นเคยกับผู้พันคีรันอย่างดี ทั้งโดยทางทหารและด้านส่วนตัว

แต่ก็มีคำสั่ง ลับและด่วนที่สุดพันกรยักไหล่ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาลอยๆ เหมือนการประชดมากกว่าต้องการคำตอบอย่างอื่น

มันก็มีกลิ่นตุๆ มาเหมือนกัน เราน่ะเชื่อมั่นในตัวคีรัน แต่อีกฝ่ายนั่นสิ น่าสงสัยมากกว่า ท่านนายพลเฉลย

นั่นนะสิครับ ข้อนี้ผมก็สงสัยตั้งแต่ได้ยินข่าวลือแรกๆ ไม่คิดว่ามันจะลามทุ่งไปขนาดนี้

มันจะลามเป็นไฟไปไกลแค่ไหน ก็ลองเข้าไปดูให้เห็นกับตาไปเลยก็แล้วกัน ท่านนายพลเดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบซองสีน้ำตาลมาวางบนโต๊ะ กำหนดการเดินทางและรายละเอียดอยู่ในซองนี่

คนละซอง อ่านทำความเข้าใจ แล้วก็ทำลายทันทีด้วย ท่านนายพลสรุป มองหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสาม ความห่วงใยและความกังวลฉายบนใบหน้าเพียงแว่บเดียวแล้วหายไป เมื่อนึกถึงความผูกพันกับบุคคลทั้งสาม

พันแสนและพันกรนอกจากจะเป็นลูกน้องโดยตรงแล้ว สองหนุ่มยังถือว่าเป็นญาติสนิท พันกรนั้นเป็นลูกชายคนเดียวของเพื่อนสนิทซึ่งจะนับได้ก็เป็นญาติห่างๆ เช่นเดียวกับพ่อของพันแสนนอกจากเป็นเพื่อนสนิทแล้วยังกินตำแหน่งน้องเขยท่านนายพล พันแสนนั้นนับว่าเป็นหลานชายที่ใกล้ชิดที่สุดในบรรดาหลานๆทุกคน ปันนรีนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของท่านเอง

ความคุ้นเคยตั้งแต่สมัยบิดามารดา เกี่ยวเนืองมาถึงรุ่นลูกๆ ดูเหมือนความสนิทสนมกลมเกลียวจะแน่นแฟ้นยิ่งกว่า เพราะต่างเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว เมื่อปันนรีเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เป็นผู้หญิง พันแสนและพันกรซึ่งอายุห่างจากปันนรี 3 ปีจึงทุ่มเทความรัก ความห่วง และที่สำคัญคือหวงน้องสาวเป็นที่ยิ่ง

ความซนความแก่นความเฮี้ยวของปันนรีล้วนได้มาจากพี่ชาย แกร่งๆเข้าไว้น้องรัก ก่อนที่จะหาผู้ชายมาดูแล เราต้องหัดดูแลตัวเองให้ได้เสียก่อน ท่านนายพลยังจำคำพูดของพันกรและพันแสนเมื่อครั้งวัยรุ่นได้ เมื่อทั้งสองพยายามบังคับสอนน้องให้รู้จักวิชาป้องกันตัว ที่สองหนุ่มอุตส่าห์ไปร่ำไปเรียนมา และเมื่อได้บทเรียนใหม่ๆก็จะกลับมาถ่ายทอดให้น้องสาวเพียงคนเดียวทุกครั้ง

แรกๆปันนรีเองก็ไม่สนุกนักหรอก แต่เพราะติดพี่ทำให้ยอมตามใจทุกอย่าง จะว่าไปท่านนายพลก็ชักไม่แน่ใจจากที่มั่นใจว่าพี่ชายติดน้องสาว หลังๆมาจะกลายเป็นว่าว่าน้องสาวติดพี่ชาย เสียล่ะมากกว่า จากความไม่ชอบกลายเป็นความสนุกและเคยชินกระทั่งเรียนจบปันนรีก็สอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตามหลังพี่ชายทั้งสองโดยไม่ฟังทำทัดทานของพี่ๆ แม้สักนิด ไม่ว่าสองหนุ่มจะยกแม้น้ำทั้งห้ามาสาธยายยังไง ก็ไม่สามารถห้ามน้องสาวได้

ถึงตอนนั้นพี่ชายทั้งสายเลือดเดียวกันและต่างสายเลือดก็รู้ตัวว่า สายเกินไปเสียแล้วที่จะย้อนเวลาไปทำให้ปันนรี นางแมวป่า กลับไปเป็นแมวบ้านที่แสนเชื่อง  หลังเรียนจบหลักสูตรและบรรจุเป็นทหารประจำกองทัพ เมื่อมีโอกาสออกปฏิบัติหน้าที่ด้วยกันทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ความแสบ ความเฮี้ยว ความบ้าของปันนรีก็ทำให้เจ้าตัวได้ฉายา นางแมวป่าจากเพื่อนร่วมกองทัพ ยศ ตำแหน่งก็ก้าวหน้าเกินเพื่อนๆในรุ่นเดียวกัน ในเมื่อสายเกินไปที่จะย้อนเวลากลับไปได้ ท้ายสุดทั้งพันแสนและพันกรต่างยอมรับชะตากรรมที่ตนทั้งคู่เป็นคนเริ่มไว้ ด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น