บทประทับใจ
ให้ข้อคิด.....จากนิยายเล่มโปรด
ให้ข้อคิด.....จากนิยายเล่มโปรด
“เดี๋ยวก่อน....”
เจ้าชายซาเลมร้องห้าม “มันก็ไม่เลวนะ...คุณนักข่าวมีประสบการณ์เกี่ยวกับงานข่าว คุณคิดว่ายังไงละ”
ฬิดานึกสนุกกับแผนการชั่วแล่นของตัวเอง และยิ่งได้ใจเมื่อเห็นท่าจะมีคนยอมรับ
“ ให้เขาคิดว่าทำสำเร็จ เขาก็จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากผลงานของเขา มันเป็นเรื่องธรรมชาติของคนที่ลงมือก่อเหตุ ส่วนมากมักจะรอดูผลระยะหนึ่งก่อน แล้วจากนั้นจะต้องหาทางสรุปผลให้ได้แล้วจะดำเนินตามแผนขั้นต่อไป เมื่อมีการดำเนินการแผนต่อไปคราวนี้ ก็คงจะรู้ได้ไม่ยาก...คนที่รับผลประโยชน์สูงสุดในการที่จะหมดสิ้นพระองค์ คนนั้นแหละที่เป็นคนลงมือทำ”
“มันจะง่ายอย่างนั้นเชียวหรือ...” พันตรีอาเหม็ดร้องถาม
“ ฟังเหมือนเกมเด็กเล่น”
“ แล้วเกมการเมืองมันจะซับซ้อนแค่ไหนเชียว”
พันตรีอาเหม็ดฟังภาษาอาหรับของเธอ ผู้หญิงเสียงต่ำเวลาพูดแสดงถึงอำนาจสะกดผู้ฟังได้อย่างดี
“มันก็แค่มีเรื่องอำนาจมาเดิมพันชีวิตคน ก็เท่านั้นเอง มันมีจุดเริ่มจากเกมเด็กๆที่เล่นด้วยสัญชาตญาณ ก็เพราะ
สัญชาตญาณดิบของมนุษย์เกี่ยวกับ กิเลส อำนาจ ความโลภ ไม่ใช่หรือที่เป็นที่มาของเกมการเมือง”
ความมั่นใจในความคิดอ่านของตัวเอง ตกเป็นเป้าสายตาคนบนเตียงเขม็ง
“ ใช้เวลาพิสูจน์คน มันก็เป็นทางออกที่ดีเหมือนกัน” เจ้าชายซาเลมเอ่ยรับ “ลองปิดข่าวเรื่องฉันสักระยะหนึ่งให้เหมือนกับว่าฉันตายไปแล้ว ดูว่าใครจะมีท่าอย่างไรบ้าง ฉันจะได้พิสูจน์อะไรหลายๆอย่างด้วย ว่าหากปราศจากชีวิตฉันบนอัคไบยาห์ บัลลังก์ฮิลมิชาลก็ต้องกระทบกระเทือนไปด้วย ไอ้คนหน้าไหนบ้างที่มันต้องการทำลายล้างสิ่งที่ฉันก่อสร้างร่างทำมาตลอดเจ็ดปี จะได้รู้กัน”
เสียงร่างสูงใหญ่ ทอดถอนใจ
“ แม้จะรู้ว่า ผลลัพธ์มันอาจออกมาไม่เหลือใครอยู่เคียงข้างฉันเลยก็ตาม”
“ฝ่าบาท!”
พันตรีอาเหม็ดร้อง
“คนตายไปแล้ว จะมีความหมายอะไรกับการเมือง การเมืองมันเรื่องของอำนาจของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะมนุษย์ไม่เคยมีความจริงใจกับคนที่ตายไปแล้ว นอกจากให้อนุสาวรีย์ คนที่มีชีวิตอยู่ต่างหากที่เขาจำเป็นต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องในเกม”
ทุกคนที่รับฟังนึกใจหาย เจ้าชายซาเลมมองเห็นด้านมืดของมนุษย์มาโดยทะลุปรุโปร่ง ชีวิตที่เต็มไปด้วยความมืดมิดแม้แต่จิตใจผู้คนที่ยืนอยู่รอบข้าง หรือแม้แต่คนที่เคยให้คำสัตยาบันว่าจะไม่ทำร้ายพระองค์ ก็ยังเป็นผู้ลงมือได้
มนุษย์ไม่ได้มีความดีมาแต่กำเนิด
หากการเรียนรู้ต่างหากที่ขัดเกลาให้มนุษย์รู้จักความดีและความรักที่จะมีให้เพื่อนร่วมโลก แต่ถ้าเป็นเรื่องความโลภ มันเป็นสันดานดิบของมนุษย์ จะเอาเรื่องความดีงามมาพูดให้คนเหล่านี้เข้าใจ เห็นจะยาก!
“ แต่ครั้งนี้ฉันอยากพิสูจน์คน ไม่ใช่หาคนที่จงรักภักดี และอยากจะแสวงหาคนที่จะช่วยค้ำจุนประเทศนี้ให้อยู่รอดปลอดภัยตามแนวทางของฉัน”
“ เรื่องที่ผ่านพ้นไป หวังว่าพระองค์คงทราบถึงหน้าที่ของเราแต่ละคน ข้าเป็นนักบวชมีหน้าที่ปกป้องจารีตประเพณ๊ แต่เรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับจารีต จะเป็นการเมืองหรือการใช้อำนาจการปกครอง เป็นหน้าที่ของเชื้อพระวงศ์เช่นพระองค์ พวกข้าคงไม่อาจก้าวก่าย”
“ แต่บ้านเมืองจะไปข้างหน้าได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับคนที่จะใช้อำนาจปกครอง เมื่อท่านได้ยกอำนาจให้กับคนที่ไม่มีความสามารถ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยบ้านเมืองนี้ได้อย่างไร
เจ้าชายซาเลมตอบด้วยน้ำเสียงยังคงกร้าวกระด้าง บ่งบอกถึงสิ่งที่คั่งค้างในพระทัยของเจ้าชายชุดดำ ผู้สูญสิ้นอำนาจวาสนาในราชบัลลังก์ สาเหตุหนึ่งก็มาจากนักบวชคนนี้ ยาซีนหัวเราะจนน้ำตาที่เอ่อคลอไหลหยดออกมา
“ อำนาจมันขึ้นอยู่กับสิ่งใด เจ้าชายซาเลม อำนาจมันอยู่ในสิ่งใดกันแน่ ชื่อตำแหน่ง หรือผู้ที่ใช้มัน ข้าว่าพระองค์รู้อยู่แก่พระทัย ” นักบวชชราพึมพำบทสวดมนต์แผ่วเบา ก่อนจะถวายคำนับให้เจ้าชายซาเลมอย่างเคารพด้วยใจจริง
เจ้าชายซาเลม อัสวัด ถึงกับยืนนิ่งงัน คำพูดของยาซีน มุสตอฟา ราวกับตอกย้ำความคิดของเจ้าชายชุดดำให้หนักแน่นขึ้นไปอีก
อำนาจมันอยู่ที่ผู้รู้จักใช้มัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชื่อตำแหน่ง สิ่งใดคืออำนาจ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบ เพราะคำตอบของมันคือทฤษฎีมากมายที่จะมาอรรถาธิบายกับคำว่า ’อำนาจ’
แต่ควรตั้งคำถามว่า ผู้ใดเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นต่างหาก ที่คำตอบจะต้องออกมาว่าเป็นผู้ใด เป็นใครคนไหนกัน
กษัตริย์ หรือคนที่ใช้อำนาจกษัตริย์!
“ พวกข้าเป็นพวกนักศึกษาที่มีเกียรติ เป็นกลุ่มคนรักชาติที่ไม่หวังอำนาจลาภยศอะไร ไม่ใช่พวกสถุลที่ฝ่าบาทจะมาไล่เหมือนพวกข้าราชการงี่เง่า ฝ่าบาทเห็นพวกข้าเป็นอะไร”
อิลิซยังโต้เถียงไม่หยุด
“ เป็นคนโง่กลุ่มหนึ่งที่ถูกคนอื่นเขาปั่นหัวนะสิ พวกเจ้ามันมีแต่อุดมการณ์ที่คนอื่นเขาบอกเล่า แต่ไม่สามารถคิดเองได้ เอาแต่ความคิดของคนอื่นเขามาเป็นคำพูดของตัวเอง มันถึงไม่รู้จักการวิเคราะห์สถานการณ์ให้ดี หากพวกเจ้าใช้สมองจริงๆ ก็คงรู้ว่าถ้าร่วมมือกับทหารทะเลทรายกับชีคอัลจูนาย ย่อมไม่ใช่การปกป้องประเทศแต่เป็นเครื่องมือทำลายประเทศของพวกมหาอำนาจข้างนอกที่ต้องการแทรกเข้ามา
“โลกสมัยใหม่...ไม่มีใครคิดเรื่องรัฐประหารง่ายๆอย่างนั้นกันแล้ว ” เจ้าชายซาเลมกล่าวขึ้น
“ เรื่องรัฐประหารเป็นเรื่องของประเทศที่ไม่ได้มีผู้นำแบบความคิดสมัยใหม่ ผมเรียนรู้แนวคิดการปกครองมาจากโลกเสรี ผมรู้จักวิธีรับมือกับประเทศรอบข้างโดยใช้วิธีการต่อรองและผลประโยชน์ เครือข่ายของผมทั้งในและนอกประเทศ ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจและผลประโยชน์ทั้งหมด ไม่มีเรื่องไหนที่ผมต้องใช้กำลังทางทหาร ถึงตอนนี้ทหารทุกคนอยู่ในมือผม แค่ผมสั่งคำเดียว ประเทศนี้เป็นของผม ผลลัพธ์ของรัฐประหาร คือกระชากอัคไบยาห์ถอยหลังไปอีกสิบปี ระบบเศรษฐกิจพัง นานาประเทศไม่ให้ความเชื่อถือ เมล็ดเงินที่เวียนอยู่ในตลาดหุ้นจะหยุดชะงัก เหมือนคราวที่เกิดกบฎติดๆ กันหลายเดือนครั้งนั้น ผมยังจ่ายดอกเบี้ยที่ขาดทุนตลาดหุ้นเมื่อปีที่แล้วไม่หมดเลย...” เจ้าชายซาเลมหัวเราะกับคำพูดตัวเอง
“ แต่พอผมมีกำลังทหารเข้า ทุกคนก็คิดแต่ว่าผมต้องรัฐประหารแน่ๆ แต่มันเป็นการกระทำที่ไปเปิดแผลให้กับอัคไบยาห์ที่ผมอุตส่าห์สร้างมาตลอดเจ็ดปี ”
ฬิดากระชับแขนที่โอบรอบตักกว้างนั้นเบาๆ...เจ้าชายของฉัน สิ่งที่ฉันเฝ้าดูพระองค์อยู่นับว่าดูไม่ผิดจริงๆ พระองค์ไม่ได้มีความคิดอ่านเฉกเช่นพวกนักการเมืองรุ่นเก่า แต่เป็นพวกหัวสมัยใหม่เสียจนนักการเมืองในประเทศนี้ที่ยึดติดกับระบบการเมืองแบบเก่าแบบราชาธิปไตยแบบเดิมๆ ไม่มีใครอ่านพระองค์ได้ทัน
“ผมกำลังพยายามล้มเลิกความคิดรัฐประหารนั้นอยู่ แต่มันก็ทำจากเหมือนกันนะ ฬิดา “
เจ้าชายทรงสารภาพความในพระทัยจริง...
อำนาจที่ลอยอยู่ข้างหน้า เพียงแค่เอื้อมมือคว้าด้วยคำว่า ‘รัฐประหาร’ มันก็มาอยู่ในความครอบครอง แต่พระองค์กลับเลือกหน ‘ทางอ้อม’ ที่ในการเอาอำนาจนั้นคืน มันจึงยากที่จะทำใจ
“ ฝ่าบาทน่ะเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่นักการเมืองเลยสักนิด “
“ คุณว่าผมเป็นนักธุรกิจอย่างนั้นหรือ “
“ ตั้งแต่ฉันเห็นฝ่าบาทมา ก็เห็นคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ ที่ต้องระมัดระวังองค์ก็เพราะจะปกป้องผลประโยชน์ของงานและของพระองค์เองตลอดมา ทุกสิ่งที่พระองค์ทำ ต้องเคาะถึงผลได้ผลเสียแล้วไม่เรียกว่า ‘นักธุรกิจ’ จะเรียกว่าอะไรเพคะ เวลานี้สิ่งที่พระองค์กังวลน่ะ คือเรื่องโครงการท่าเรือที่นาฬูป์ เพราะนั่นคือความใฝ่ฝันและเม็ดเงินมหาศาลที่ทรงลงทุนไป ทรงกลัวขาดทุนนะสิเพคะ ฉันรู้หรอก”
“ นี่คุณชม หรือแกล้งว่าผมเป็นคนเห็นแก่ผลประโยชน์กันแน่ฬิดา” เสียงหัวเราะในลำคอของคนพูดดังขึ้นเบาๆ
“ ฉันพูดอย่างที่ฉันเห็นจริงนี่เพคะ นักธุรกิจการเมืองอย่างเจ้าชายซาเลม ถ้าจะก่อรัฐประหารก็เหมือนยอมเสียเงินเป็นแสนๆ ล้านของอัคไบยาห์ พระองค์ไม่ยอมให้เสียหายอย่างนั้นแน่ “
ซาเลมโน้มองค์ลงจุมพิตเรือนผมเธอเบาๆแทนคำชื่นชม
“ ฬิดา...ทำไมคุณต้องมานั่งอ่านใจผมทั้งหมดแบบนี้ด้วยนะ รู้ไหมว่าคนทั้งประเทศเขากำลังกลัวผมทำรัฐประหารกันแทบเป็นแทบตาย มีคุณคนเดียวเท่านั้นที่เชื่อว่าผมจะไม่ทำรัฐประหาร”
“ เพราะฉันรู้ว่าพระองค์รักประเทศนี้แค่ไนนะสิเพคะ ความฝันของพระองค์นะคือสร้างประเทศนี้ให้เจริญก้าวหน้า หากพระองค์อยากได้เป็นกษัตริย์ถึงกับต้องรัฐประหาร เจ็ดปีที่ทรงทำมาจะเป็นสูญไป แล้วเงินทองมหาศาลที่ลงทุนไปกับประเทศนี้อีกละ พระองค์คำนวณแล้วว่า ถ้าไม่รัฐประหารแต่เอาทหารมาต่อรอง สิ่งที่พระองค์จะได้มันมากกว่านั้น คืออัคไบยาห์ไม่เสียหาย และพระองค์ก็กระโดดกลับเข้าสู่เกมเหมือนเดิม
ร่างสูงเงียบกริบ นอกจากนิ้วมือที่ยังลูบเรือนผมเธอ โลกทั้งใบออกกว้างใหญ่ ในที่สุดก็มีใครคนหนึ่งเข้าพระทัยพระองค์ราวกับอ่านหนังสือเล่มเดียวกัน
“ ยังเสียพระทัยอยู่หรือเพคะ”
เธอถามถึงแววเนตรที่ยังหม่นหมอง ร่างนั้นยอมรับ...
“ อือม มันเป็นครั้งแรกที่ผมแพ้ การยอมรับความพ่ายแพ้ มันทำใจได้ลำบากจริงๆ ตอนแรกนึกว่าจะรับไม่ได้เหมือนกัน แต่พอได้ฟังคุณพูดเมื่อครู่ สิ่งที่คิดไว้ในใจมันเหมือนโดนคุณอ่านออกมาหมดแล้ว ก็เหมือนมีใครมาช่วยเผยให้เห็นว่าความลำบากใจมันอยู่ตรงไหน ทำให้พอจะเห็นทางว่า ผมควรจะทำใจยอมรับมันได้อย่างไรต่อไป ถูกอย่างที่คุณพูด ผมแค่รอเวลา แล้วกระโดดกลับเข้าสู่เกม มันอาจจะได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์ ดีนะ ที่ผมยังชะลอเรื่องรัฐประหารอยู่ ไม่เร่งมือทำเสียแต่วัน นี่เป็นการแพ้ครั้งแรก ก็เลยรู้สึกเจ็บปวดมาก เมื่อประกาศเป็นทางการแล้วว่าอิลยาสเป็นผู้ชนะ ผมก็ต้องเตรียมรับมือกับเรื่องนี้ต่อไป”
น้ำเสียงดูอ่อนแรง แต่แววตาไม่เคยทิ้งความมุ่งมั่น
“ฬิดา ตอนนี้ผมจะต้องทำให้ได้ ต้องทำใจให้ยอมรับคำว่า ‘แพ้’ ให้ได้ แล้วผมก็จะกลับเข้าสู่เกมนี้อีกครั้ง”
ทำไมเธอจะไม่รู้ว่า พระองค์เจ็บช้ำขนาดไหน ทรงหวังไว้มากและทำทุกอย่างเพื่อการลงคะแนนเสียงรับรองครั้งนี้
คนเรามีแต่วันเวลาที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้า เมื่อตัดสินใจที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกัน ก็ต้องผลักให้เขาเดินต่อไปให้ได้ ไม่ใช่เหนี่ยวรั้งกันไว้ หรือยื้อยุดให้ย่ำอยู่กับที่ กับความเสียใจหรือผิดหวังจนไม่ยอมลุกเดินออกมา
คนที่รู้จักวิธีการรับมือกับมันอย่างมีสติรอบคอบเท่านั้น จึงจะอยู่ในสถานการณ์ที่เหนือกว่า เจ้าชายซาเลมทรงเข้มแข็งและเรียบสงบตอบรับสถานการณ์เลวร้าย สูญเสีย ที่มันเหวี่ยงเข้ามากระทบ แม้จะถูกบังคับให้ถอยร่นความฝันลงมาขนาดนี้ พระองค์ยังยอมรับได้อย่างภาคภูมิ และพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป
คนยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ผู้ชนะ หากเป็นผู้แพ้
ที่กล้ายอมรับกับคำว่า ‘ แพ้ ’ อย่างสง่างามต่างหาก
ฬิดาบอกกับตัวเองว่าเธอรักผู้ชายที่ยิ่งใหญ่คนนี้เหลือเกิน
หญิงสาวอิงหน้าบนตักกว้างนั้น เหมือนจะช่วยซึมซับความเจ็บช้ำจากพระองค์
สายพระเนตรที่อาบทอร่างแบบบาง กลับใจหายมากกว่าความพ่ายแพ้ที่สร้างความรู้สึกให้ขณะที่พระองค์ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดเหมือนมีใครบางคนส่งฬิดาคนนี้เข้ามาใกล้ชิด เพื่อให้เข้าถึงจิตใจที่หน่วงหนัก เมื่อเข้าสู่ห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก กลับมีเธอคนนี้ช่วยเหนี่ยวรั้งให้นั่งตรง
ร่างสูงโน้มลงมาจุมพิตเรือนผมเธอเบาๆ อีกครั้งอย่างใจหาย สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป มันใกล้จะสูญเสียสิ่งสุดท้ายนี้อีกหรือไม่ ขออย่าให้สิ่งใดมากระทบกับฬิดาของพระองค์อีกเลย
อย่าให้วันนั้น...มาพรากฬิดาไปจากพระองค์
พระองค์เก็บความรู้สึกกังวลในพระทัย ก่อนจะเอนตัวลงพิงเก้าอี้รับแสงพระอาทิตย์ที่กำลังทอแสงนวลตา มาตามขอบฟ้าด้านหน้า แล้วใช้ความคิดต่อไปในความเงียบสงบทั้งสองคน
“ เช่นที่ข้าเคยบอก...เจ้าชายซาเลม เกิดมาใต้ดาวคู่ของอัคไบยาห์ แล้วท่านจะต้องการคำทำำนายใดจากข้า”
“ เมื่อดาวคู่ปรากฎบนฟ้า
หนทางยาวไกลข้างหน้า
ไปจนสุดฟ้า เป็นได้เพียงเงา
ไม่อาจเอื้อมเอาถึงตะวัน”...

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น